วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

ข้อบกพร่องในการใช้ภาษาสื่อสาร


                การสื่อสารด้วยภาษาพูด โดยเป็นการพูดที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟังโดยตรง  ไม่ใช่การพูดผ่านสื่อ  ผู้พูดสามารถสังเกตรับรู้ได้ว่าผู้ฟังเข้าใจหรือไม่โดยดูจากปฏิกิริยา หรือคำถามย้อนกลับ แต่ในกรณีที่เป็นการพูดผ่านสื่อ หรือการเขียนสื่อความ หากใช้ภาษาไม่ชัดเจน อาจทำให้เข้าใจผิด การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผล  
     การใช้ภาษาไม่ชัดเจน  เกิดจาก 
     1. ใช้คำฟุ่มเฟือย
     การใช้คำฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นทั้งที่สามารถตัดออกได้โดยไม่ทำให้เสียความ  เช่น ตำรวจทำการจัดกุมคนร้าย  เขาออกเดินทางเมื่อเช้าตรู่ใกล้รุ่ง
     2. ใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
     ในภาษาไทยมีคำทับศัพท์จำนวนมาก  เนื่องจากการรับเอาคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเข้ามา  ศัพท์บางคำมีคำที่ใช้ในภาษาไทย  ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสารให้ตรงความหมาย  เช่น  ชื่อเฉพาะ  ศัพท์ทางวิชาการ  แต่คำศัพท์บางคำมีคำไทยใช้หรือมีการบัญญัติคำศัพท์ในภาษาไทยที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องใช้คำทับศัพท์  เช่น  แสตมป์ (ดวงตราไปรณียากร)  บอมพ์ (ระเบิด)  กรุ๊ป (กลุ่ม)  เซ็นเตอร์ ( ศูนย์กลาง)
    3. ใช้คำขัดแย้งกันในประโยค
    การใช้คำขัดแย้งกันในประโยคโดยไม่ระมัดระวัง  อาจทำให้การสื่อสารสับสน  เช่น  เขาสวมกางเกงขายาวเหนือเข่า   ผู้หญิงคนนั้นเดินขวักไขว่อยู่คนเดียว
    4. ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์แทนภาษาเขียนมาตรฐาน
    ภาษาหนังสือพิมพ์เป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากผู้เขียนมีเจตนาให้ดึงดูดความสนใจ  เช่น  การพาดหัวข่าวโดยใช้คำกริยานำหน้าประโยค การใช้คำที่มีความหมายรุนแรงเกินความจำเป็น ฯลฯ  จึงไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนโดยทั่วไป เช่น รวบมือมีดสังหารโหด บอลไทยวีด
    5. ใช้คำผิดความหมาย
    การใช้คำผิดความหมายทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน เช่น เขาทอดทิ้งเธอไว้ตามลำพังเพียงชั่วครู่ เสื้อผ้าของเขาดูเก่าคร่ำครึมาก
    6. ใช้คำต่างระดับ  ไม่คงที่
    ระดับของภาษา  ได้แก่  ภาษาปาก  ภาษากึ่งแบบแผน  และภาษาแบบแผน  และยังมีภาษาเฉพาะ  เช่น  ภาษาตามวัฒนธรรม  และภาษากวี  การใช้ภาษาต่างระดับทำให้มีความแตกต่างลักลั่น  เช่น  ดวงพระสุริยาฉายแสงกล้ามากในตอนบ่าย   มนุษย์ทุกคนต้องละสังขารในที่สุด
    7. ใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ
ภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศมีรูปแบบโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกัน  ในการแปลภาษาต่างประเทศ  บางครั้งผู้แปลไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับลักษณะภาษาไทย  ทำให้มีลักษณะสำนวนต่างประเทศ  และกลายมาเป็นรูปแบบที่จดจำนำมาใช้  เช่น  เธอเข้ามาในห้องพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือ  เขาจับรถไฟไปอย่างรีบร้อน  สองสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนกัน
    8. ใช้ภาษาพูดแทนภาษาเขียน
    ภาษาพูดหรือภาษาปาก  เป็นภาษาระดับหนึ่งที่ไม่เหมาะสำหรับใช้ในการเขียน  การนำภาษาพูดมาใช้ในการเขียนอาจใช้ได้การเขียนเรื่องประเภทบันเทิงคดี  เพื่อให้ดูสมจริง  แต่ไม่สมควรนำมาใช้ในภาษาเขียนทั่วไป  โดยเฉพาะภาษาสะแลง  หรือภาษาคะนอง  เช่น  หนาวชะมัด  เด็กคนนี้แสบจริง ๆ
    9. ประโยคมีความหมายกำกวม
    การใช้ภาษากำกวม  หมายถึงการใช้คำหรือภาษาที่อาจมีความหมายไม่ชัดเจน  หรือสื่อความได้หลายอย่าง  เช่น  เครื่องบินขับรถชนเขา  มีคนขนข้าวของเขาไป
     10. เรียงลำดับคำในประโยคไม่ถูกต้อง
    การเรียงลำดับคำในประโยคไม่ถูกต้องทำให้การสื่อสารไม่ชัดเจน เช่น  หนังสือบนชั้นเขาไม่เคยอ่านเลย หน้าตลาดตรงร้านขายปลาเขาได้พบเธอ
     11. ประโยคมีเนื้อความไม่สัมพันธ์กัน
     ประโยคที่มีเนื้อความไม่สัมพันธ์กันทำให้การสื่อสารสับสน  เช่น  เขาเรียนอุดมศึกษาและไปจ่ายตลาด , ฝนตกหนัก  แม่จึงคลุกข้าวให้แมว
    12. การเว้นวรรคตอนผิด
    การเว้นวรรคตอนผิด  ทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน  เช่น  เขาเป็นคนซื่อ/ ตรงมาก  อย่าอวด /อ้างมากเกินไป
    13. ใช้คำไม่เหมาะสมกับโอกาส  กาลเทศะและบุคคล
     การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับโอกาส  กาลเทศะและบุคคล  เช่น  คำราชาศัพท์  คำที่ใช้สำหรับพระภิกษุ  และบุคคลระดับต่าง ๆ




ที่มาข้อมูล : http://guru.sanook.com
ที่มาภาพ   : http://www.asmartbrain.com

คำกริยา


      คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ สภาพ หรือการกระทำของคำนาม และคำสรรพนามในประโยค คำกริยาบางคำอาจมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง บางคำต้องมีคำอื่นมาประกอบ และบางคำต้องไปประกอบคำอื่นเพื่อขยายความ
หน้าที่ของคำกริยา มีดังนี้
  1. ทำหน้าที่เป็นกริยาสำคัญของประโยค เช่น คนกินข้าว นกบินมาเป็นฝูง เป็นต้น
  2. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น กินมากทำให้อ้วน เป็นต้น
  3. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น ฉันชอบเต้นแอร์โรบิกตอนเช้า เป็นต้น
  4. ทำหน้าที่ช่วยขยายกริยาสำคัญให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น พี่คงจะกลับบ้านเย็นนี้ เป็นต้น
  5. ทำหน้าที่ช่วยขยายคำนามให้เข้าใจเด่นชัดขึ้น เช่น ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวผัด น้องชายชอบบะหมี่แห้ง เป็นต้น
คำกริยา แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ
1. สกรรมกริยา
2. อกรรมกริยา
3. วิกตรรถกริยา
4. กริยาอนุเคราะห์
         1. สกรรมกริยา คือคำกริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ จึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น
แม่ค้าขายผลไม้
น้องตัดกระดาษ
ฉันเห็นงูเห่า
พ่อซื้อของเล่นมาให้น้อง
ฉัน กิน ข้าว
เขา เห็น นก
         2. อกรรมกริยา คือคำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ความหมายสมบูรณ์ ชัดเจนในตัวเอง เช่น
ครูยืน'
น้องนั่งบนเก้าอี้'
ฝนตกหนัก
เด็กๆหัวเราะ
คุณลุงกำลังนอน
เขานั่ง เขายืนอยู่
         3. วิกตรรถกริยา คือคำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ ต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ คำที่มารับนั้นไม่ใช่กรรมแต่เป็นส่วนเติมเต็มหรือมาช่วยขยายความหมายให้สมบูรณ์ คำกริยาพวกนี้ได้แก่ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ เสมือน ดุจ เช่น
ผม เป็น นักเรียน
ลูกคนนี้ คล้าย พ่อ
เขาคือ ครูของฉันเอง
รองเท้า 2 คู่นี้เหมือนกัน
ชายของฉันเป็นตำรวจ
เธอคือนักแสดงที่ยิ่งใหญ่
ลูกดุจแก้วตาของพ่อแม่
แมวคล้ายเสือ
         4. กริยาอนุเคราะห์ หรือ กริยาช่วย เป็นคำที่เติมหน้าคำกริยาหลักในประโยคเพื่อช่วยขยายความหมายของคำกริยาสำคัญ เป็นกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่ จง กำลัง ได้ แล้ว ต้อง อย่า จง โปรด ช่วย ควร คงจะ อาจจะ จะ ย่อม คง ยัง ถูก เถอะ เทอญ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
นายแดง จะไป โรงเรียน
เขา ได้รับ คำชม
เธอ รีบ ไปเถอะ
เขาไปแล้ว
โปรดฟังทางนี้
เธออาจจะถูกตำหนิ
ลูกควรเตรียมตัวให้พร้อม
เขาคงจะมา
จงแก้ไขงานให้เรียบร้อย
         ข้อสังเกต กริยาคำว่า ถูก ตามปกติจะใช้กับกริยาที่มีความหมายไปในทางไม่ดี เช่น ถูกตี ถูกดุ ถูกตำหนิ ถ้าความหมายในทางดีอาจใช้คำว่า ได้รับ เช่น ได้รับคำชมเชย ได้รับเชิญ เป็นต้น
         นอกจากนี้ยังมี กริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม (กริยาสภาวมาลา) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นประธาน เป็นกรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
เขาชอบออกกำลังกาย (ออกกำลังกายเป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม เป็นกรรมของประโยค)
กินมากทำให้อ้วน (กินมากเป็นกริยาที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
นอนเป็นการพักผ่อนที่ดี (นอนเป็นกริยาทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)




ที่มาข้อมูล : http://www.panyathai.or.th
ที่มาภาพ   : https://sites.google.com